เมื่อเวลาสิวอักเสบเกิดขึ้นบนใบหน้า หลายคน คงเลือกที่จะเดินเข้าไปในร้านขายยา เพื่อซื้อยารักษาสิวหรือครีมรักษาสิว นำมาแต้มสิวเอง แต่รู้หรือไม่ว่าหากเราไม่เข้าใจสภาพผิวของตัวเอง และเลือกใช้ยารักษาสิวที่ไม่เข้ากันกับประเภทของผิวและสิวที่เป็นอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้อาการของสิวลดลงได้ ดังนั้นการได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและตรงจุด จะช่วยลดอาการของสิวและทำให้สิวหายไปได้ในที่สุด วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจสิวอักเสบและระดับความรุนแรงของสิวอักเสบกัน!
สาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ
โดยปกติแล้ว สิวเกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตไขมันมากเกินไป และชั้นผิวหนังเริ่มหนาขึ้น จนไขมันไปอุดตัน สะสมอยู่ภายในรูขุมขน ทำให้เกิดอาการอักเสบแบบไม่รุนแรงใต้ผิวหนัง และก่อให้เกิดเป็นสิวประเภทต่าง ๆ นอกเหนือจากนี้ หากรูขุมขนที่อุดตัน เกิดการหมักหมมหรือไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดี แบคทีเรีย P.acnes จะย่อยไขมันภายในรูขุมขนนั้นเป็นอาหาร ซึ่งจะไปกระตุ้นการอักเสบให้หนักมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นสิวอักเสบนั่นเอง ซึ่งสาเหตุการเกิดสิวนั้น อาจจะมาจากฮอร์โมนภายในร่างกาย ความเครียด หรือแม้กระทั่งจากแพ้สเตียรอยด์ที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องสำอาง
การนอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอก็มีผลต่อร่างกายทั้งระบบเช่นกัน เช่น ระบบหมุนเวียนเลือด น้ำเหลือง และฮอร์โมนต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาผิดปกติ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งไปกระตุ่มต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากโดยเฉพาะช่วงเวลาที่เครียด เป็นเหตุให้เกิดสิวและเกิดการอักเสบของสิวมากขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อเรารู้ถึงสาเหตุของการเกิดสิวแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิวอักเสบบนใบหน้าของเรา คือสิวประเภทอะไรกันนะ?
ประเภทของสิวอักเสบ
สิวอักเสบนั้นเป็นสิวที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน เมื่อสิวอุดตันมีแบคทีเรียเจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว ทำให้สิวเกิดการอักเสบ บวมแดง หากไปสัมผัสก็อาจจะทำให้เกิดความเจ็บปวดได้ สิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ขึ้นอยู่กับขนาดของสิว และความรุนแรงของการอักเสบ ได้แก่
- สิวตุ่มแดง (Papule): เป็นตุ่มสิวสีแดงขนาดเล็ก ๆ แข็งนูน
- สิวหัวหนอง (Pustule): เป็นตุ่มแดงและปวด เริ่มมีหัวหนองสีเหลือง เนื่องจากแบคทีเรียเจริญเติบโตบริเวณต่อมเหงื่อและรูขุมขน
- สิวก้อนลึก (Nodular Acne): เป็นตุ่มสิวแดงขนาดใหญ่ลึกลงไปชั้นใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวดที่รุนแรงมากขึ้นจากการที่แบคทีเรียเริ่มกระจายตัวอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง
- สิวซีสต์ (Cystic Acne): เป็นตุ่มสิวขนาดใหญ่ เกิดจากถุงน้ำใต้ผิวหนังอักเสบ เนื่องจากภายในมีหนองอักเสบ
- สิวหัวช้าง (Acne Conglobata): เป็นสิวที่มีอาการอักเสบขั้นรุนแรง เนื่องจากสิวชนิดนี้จะมีอาการร่วมของสิวหัวหนอง สิวก้อนลึกและสิวซีสต์อยู่ด้วยกัน มีหนองไหลอยู่ตลอดเวลา โอกาสติดเชื้อง่าย ควรรีบทำการรักษาหรือปรึกษาแพทย์โดยด่วน
ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบและแนวทางการรักษา
การรักษาสิวนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจสิวที่เกิดขึ้น ทั้งบนใบหน้าและต่างจุดต่าง ๆ ของร่างกายกัน เพื่อที่จะได้วางแผนและเลือกวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติเราจะแบ่งสิวอักเสบตามความรุนแรงของอาการอักเสบ โดยจะมีทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1: สิวอักเสบเล็กน้อย (Acne Comedonica) ไม่มีการอักเสบรุนแรง จะพบสิวอุดตันหัวดำและหัวขาวในจำนวนเล็กน้อย มักกระจายบริเวณทั่วใบหน้า โดยเฉพาะจมูก หน้าผากและแก้ม มีโอกาสในการเกิดรอยสิวค่อนข้างต่ำ สิวในระยะนี้เราสามารถดูแลรักษาสิวได้ด้วยตนเอง ด้วยการใช้ครีมรักษาสิวหรือผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของสารเหล่านี้
- Benzoyl Peroxide ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว รวมถึงลดการอุดตันของรูขุมขน
- Topical retinoids เช่น Tretinoin และ Adapalene ช่วยลดการอุดตันและอาการอักเสบ โดยการผลัดเซลล์ผิว สามารถรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบได้
- Azelaic acid เป็นส่วนผสมชนิดหนึ่งในยารักษาสิว โดยมักจะใช้กับคนที่มีอาการข้างเคียงจากการใช้ Benzoyl Peroxide และ Topical retinoids โดยมีฤทธิ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและฆ่าเชื้อแบคทีเรียเหมือนกัน
- Topical Antibiotic จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง สามารถใช้ควบคู่กันกับ Benzoyl Peroxide เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
ระดับที่ 2: สิวอักเสบปานกลาง (Acne Papulopustulosa) อาการในระดับนี้ คือ มีสิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองจำนวนมากทั่วใบหน้า ในระยะนี้สามารถใช้ยารักษาสิวหรือครีมรักษาสิวเบื้องต้นได้ แต่ถ้าหากอาการยังไม่ดึขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางในการรักษา
ระดับที่ 3: สิวอักเสบรุนแรง (Acne Conglobata) ในระดับนี้ แน่นอนว่าจะมีสิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองจำนวนมาก และจะมีสิวอักเสบก้อนลึกเพิ่มมาในบางจุดบนใบหน้า รวมถึงหน้าอกและแผ่นหลัง สิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองอาจจะรวมตัวกันก่อนให้เกิดสิวหัวช้าง หรือซีสต์ ในระยะนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อรับคำแนะนำและแนวทางในการรักษา เนื่องจากยารักษาทั่วไปอาจจะใช้ไม่ได้ผล
การใช้ยารักษาสิวและครีมรักษาสิวนั้น สามารถช่วยรักษาและกำจัดสิวได้ดี แต่ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงตามมา ได้แก่ ผิวแห้ง ผิวลอก รวมถึงทำให้ผิวระคายเคืองได้ เนื่องจากสารที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีคุณสมบัติเป็นกรด ดังนั้นเมื่อเราใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว ควรจะเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์หลังการใช้ยารักษาสิวร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และบำรุงผิวในระหว่างการรักษาสิวได้นั่นเอง
Face Skin Control นวัตกรรมทางเลือกใหม่ของการรักษาสิว อ่อนโยนต่อผิวหน้า
Face Skin Control เป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิวจากแบรนด์ Riviera Suisse หรือว่า “รีเวียร่า สวิซ” โดยสามารถรักษาสิวได้รวดเร็ว เพียง 6 ชั่วโมงสิวเกิดใหม่ก็จะเริ่มยุบลง อีกทั้งยังไม่ทำให้ผิวระคายเคืองด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ MicroSilver BG™ หรือว่า สารสกัดบริสุทธิ์จากแร่เงิน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย 2 บริษัทยักษ์ใหญ่จากแคนาดา และประเทศเยอรมัน ซึ่งก็คือบริษัท Avicanna (บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์จากแคนาดา) และ Bio-Gate AG (บริษัท healthcare solution จากประเทศเยอรมัน) สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ บทความ: Silver แร่เงินบริสุทธิ์ ยับยั้งสิวได้จริง MicroSilver BG™ – Riviera Suisse
โดยปกติแล้วแร่เงินหรือ “Silver นั้นมีคุณสมบัติ ต่อต้านและยับยั้งจุลินทรีย์ต่างๆ” ซึ่งแบคทีเรียเองก็เป็นจุลินทรีย์ที่มาทำร้ายผิวหน้าของเรา จนทำให้เกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบ จึงไม่แปลกใจที่ MicroSilver นั้น จะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนใบหน้าของเราได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่สิวกำลังจะอักเสบ จนทำให้สิวยุบลงได้ภายใน 6 ชั่วโมง และเพราะว่าตัว MicroSilver ได้กำจัดแบคทีเรียออกไป ทำให้ผิวหนังของเราสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
Source: Pobpad.com, Thairath.co.th, phramabeautycare.com