ช่วงนี้เข้าหน้าร้อนแล้ว หลาย ๆ คนก็จะต้องเจอกับแสงแดดแรง ๆ และจ้ามาก โดยเฉพาะช่วงกลางวัน หนึ่งในสกินแคร์ที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกคงหนีไม่พ้น “ครีมกันแดด” ที่จะคอยปกป้องผิวหน้าและผิวกายจากความหมองคล้ำ ผิวไหม้ และมะเร็งผิวหนังได้ ส่วนวิธีการเลือกครีมกันแดดนั้น คนอื่น ๆ มักเข้าใจว่ายิ่งค่า SPF สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งกันแดดได้ดี ทั้งที่จริงแล้วอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป วันนี้เราพาทุกคนทำความเข้าใจ SPF กันก่อนว่าคืออะไรและควรเลือกครีมกันแดดอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเอง มาดูกันเลย!
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับรังสี UV วายร้ายจากแสงแดด
โดยรวมคนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่า รังสี UV จะส่งผลให้ผิวของเราดำ หมองคล้ำ แต่จริง ๆ แล้ว รังสี UV สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- รังสี UVA: เป็นตัวการที่ทำให้ผิวมี ริ้วรอย เหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากรังสี UVA สามารถทะลุไปถึงชั้นผิวหนังแท้และจะไปกดภูมิต้านทาน ทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังของเรา อีกทั้งยังสามารถทะลุผ่านกระจกได้ ดังนั้นจึงควรทาครีมกันแดดไว้ถึงแม้ว่าจะอยู่ภายในอาคาร จำสั้น ๆ ไว้ว่า UVA ทำให้เกิด Aging
- รังสี UVB: รังสีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะทำอันตรายให้แก่ชั้นผิวหนังกำพร้า จึงส่งผลให้ผิว ไหม้แดด ดำ หมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ รังสี UVB ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ จำสั้น ๆ ว่า UVB ทำให้เกิด Burning
SPF คือค่าอะไรกันแน่ ?
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB เท่านั้นของครีมกันแดด โดย SPF 1 ก็คือความสามารถของผิวในการทนแสงแดดตามระดับปกติก่อนที่ผิวจะไหม้ หมายความว่า ถ้าเราทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ผิวของเราจะทนแสงแดดที่แรงเท่าเดิมได้เป็นเวลานานขึ้นถึง 30 เท่า เช่น ถ้าในสภาวะปกติผิวของคุณสามารถทนแดดแรงเท่านี้ได้เป็นเวลา 10 นาที การทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 จะทำให้ผิวคุณทนแดดที่แรงเท่าเดิมได้ถึง 300 นาที ถ้าแสงแดดแรงขึ้น เวลาที่ทนแดดได้ก็จะน้อยลง แต่ถ้าแดดอ่อนลง เวลาที่ผิวคุณจะทนแดดได้ก็จะเพิ่มขึ้นนั่นเอง สรุปได้ว่า การที่มี SPF มากขึ้นจะสามารถเพิ่มระยะเวลาให้ผิวทนต่อแดดได้นานขึ้นนั่นเอง
เนื่องจากค่า SPF สามารถบอกได้ถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ของครีมกันแดดเท่านั้น ในปัจจุบันครีมกันแดดจึงถูกพัฒนาให้สามารถกันรังสี UVA ได้ โดยจะมีมาตรฐานการวัดเพื่อบอกประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ที่เรียกว่า Persistent Pigmrent Darkening หรือย่อว่า PPD และค่าของการวัดด้วยวิธีนี้ คือ PA ซึ่งย่อมาจาก Protection grade of UVA โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ PA+, PA++, PA+++, และ PA++++
SPF 30 vs SPF 50 แตกต่างกันมากไหม
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเราใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 จะสามารถปกป้องรังสี UV ได้นานประมาณ 300 นาที หรือราว 5 ชั่วโมงถึง 5 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป โดยช่วงเวลาที่แสงแดดแรงและเป็นอันตรายต่อผิวของเราอยู่ในช่วง 09.00 น. – 15.00 น. แต่ถ้าหากเราจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดทั้งวัน อย่างเช่นไปเที่ยวทะเลหรือต่างจังหวัด ก็สามารถทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ได้เพื่อการป้องกันรังสี UV ที่นานขึ้น
โดยปกติ ค่า SPF 30 เป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาครีมกันแดดต่างๆ และก็เป็นที่แนะนำสำหรับผิวทุกประเภท โดยไม่มีครีมกันแดดชนิดไหนที่สามารถกันรังสี UV ได้ 100% SPF 15 สามารถกันรังสี UVB ได้ 93%, SPF 30 สามารถกันรังสี UVB ได้ 97% และ SPF 50 สามารถกันรังสี UVB ได้ถึง 98% ถ้าสังเกตดูแล้ว ความแตกต่างระหว่าง SPF 30 และ SPF 50 นั้นมีแค่ 1% ของการปกป้องที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV พอ ๆ กัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF เกินกว่า 30 เสมอไป
การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ มีข้อเสีย หรืออันตรายอะไรไหม ?
หลายคนที่ทา SPF สูง ๆ มักจะคิดว่าทาไปแล้ว สู้แดดได้ ไม่ต้องกลัวแดดอีกเลยทั้งวัน แต่ความจริงแล้ว ครีมกันแดดไม่สามารถปกป้องเราได้เต็มประสิทธิภาพตามที่ระบุจากค่า SPF เนื่องจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, การเคลื่อนไหวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว หากเราต้องออกไปเจอแดดเป็นเวลานาน ควรจะทาครีมกันแดดใหม่อีกครั้งหลังจากการทาครั้งแรกไป 2 – 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม หลังจากเราใช้ครีมกันแดด เราควรทำความสะอาดใบหน้าเพื่อชำระล้างครีมกันแดดและสิ่งสกปรกออก เนื่องจากอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดการอุดตัน และเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
ดังนั้น ในขณะที่เราปกป้องผิวจากแดด เราควรบำรุงผิวของเราให้มีสุขภาพที่ดี ผิวใสไร้สิวไปด้วย ซึ่งทางรีเวียร่า สวิซได้รวมสองคุณสมบัติมาไว้ในขวดเดียว นั่นก็คือ Riviera Suisse Face balm SPF 30 PA+++ ที่สามารถบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นพร้อมกันแดดได้และยังอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว
สรุปเราควรเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไรดี?
เราสามารถเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือ 50 ก็ได้ ซึ่งเพียงพอต่อการปกป้องผิวของเราจากแสงแดดตลอดทั้งวัน อีกทั้งเราควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวหน้าเราแพ้ได้ สำหรับคนผิวมันเราควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เนื้อบางเบา ซึมเร็ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผิวหน้าของเรามันเยิ้มไปเลยนั่นเอง
Source: Pharmabeautycare, gqthailand.com, cosmenet.in.th