ผิวหนัง กับ น้ำ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? โดยปกติน้ำหนักตัวของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 60 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งในชั้นผิวหนังทั้งหมดมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 64 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายอาจจะสูญเสียน้ำได้จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย หรือ กิจกรรมที่มีการออกแรงมาก ทำให้เหงื่อออก และถ้าหากเราไม่ใส่ใจกับการดื่มน้ำมากนัก เช่น ดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพตามมาและจะส่งผลต่อผิวเราโดยตรง การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะนอกเหนือจากการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว การดื่มน้ำเปล่าสามารถป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ทำให้ใบหน้าชุ่มชื้น ผิวพรรณสดใส ไม่แห้งกร้าน ผิวสวยสุขภาพดี นั่นเอง
ผิวหนัง ขาดน้ำสามารถรู้ได้อย่างไร
หลายคนอาจจะคิดว่า เมื่อผิวของตนเองนั้นเริ่มแตก ลอกเป็นขุยหรือหยาบกร้าน แสดงว่าผิวแห้ง แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เพราะเราอาจจะมีผิวขาดน้ำก็ได้ ดังนั้นผิวแห้งและผิวขาดน้ำนั้นจะมีความแตกต่างกันดังนี้
ผิวแห้ง เป็นชนิดของผิวที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยกว่าปกติ จึงไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ ทำให้ผิวแห้งตึงและลอกเป็นขุย โดยทั่วไปแล้วคนที่มีผิวแห้งจะเป็นทั่วบริเวณทั้งใบใบหน้าและไม่ค่อยมีปัญหาสิว เพราะมีรูขุมขนเล็ก ไม่มีน้ำมันบนผิวหน้ามาก โดยวิธีการดูแลหากผิวแห้งเบื้องต้น จะเป็นการทามอยเจอร์ไรซ์เซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอ
ผิวขาดน้ำ เป็นอาการของผิวที่มีน้ำหล่อเลี้ยงใต้ผิวหนังไม่เพียงพอ แต่ต่อมไขมันยังผลิตน้ำมันออกมาปกติ ทำให้น้ำมันเคลือบผิวหน้ามาก แต่ผิวยังดูแห้ง หยาบกร้าน ผิวขาดน้ำสามารถเกิดได้กับสภาพผิวทุกประเภท โดยวิธีการดูแลหากผิวขาดน้ำในเบื้องต้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เพื่อป้องกันการเกิดสิวและคงความชุ่มชื้นของผิวหน้าได้ อย่าง Riviera Suisse Foam และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รูขุมขนกระชับด้วย Micellar Tonic
ควรดื่มน้ำวันละเท่าไรถึงจะดีต่อ ผิวหนัง
โดยทั่วไปร่างกายจะสูญเสียน้ำในทุกวัน แต่จะสูญเสียในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ดังนั้นนอกเหนือจากการดื่มน้ำเพื่อทดแทนในส่วนที่เสียไปแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นกัน เราสามารถสังเกตได้ หากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้มีปัญหาการขับถ่ายหรือท้องผูก และมีปัสสาวะสีเข้ม โดยปกติแล้วเราจะทราบกันว่า ใน 1 วัน เราควรดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว แต่ที่จริงแล้วปริมาณที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น อายุ เพศ และกิจกรรมที่ทำ
ปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสม
- ผู้ที่มีอายุ 4-8 ปี ควรดื่ม 5 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 1,200 มล.
- ผู้ที่มีอายุ 9-13 ปี ควรดื่ม 7-8 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 1,600-1,900 มล.
- ผู้ที่มีอายุ 14-18 ปี ควรดื่ม 8-11 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 1,900-2,600 มล.
- ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่ม 9 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2,100 มล.
- ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่ม 13 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 3,000 มล.
โดยปริมาณนี้จะรวมถึงปริมาณน้ำที่ได้รับจากการรับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ เรียบร้อยแล้ว
ควรดื่มน้ำช่วงเวลาไหนบ้างจึงจะเหมาะสม
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย สดชื่นพร้อมรับวันใหม่
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนเข้านอน เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำขณะนอนหลับ
ประโยชน์ของการดื่มน้ำ
การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้กระบวนการทำงานของร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เช่น ช่วยดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ร่างกาย ช่วยขับสารพิษออกจากอวัยวะ ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต เมื่อร่างกายทำงานปกติแล้ว ก็จะส่งผลมาที่ผิวพรรณของเรา ทำให้ผิวสุขภาพดี ชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่แห้งกร้าน และที่สำคัญไม่เป็น ผิวขาดน้ำ อีกด้วย