ทุกคนคงจะรู้จัก “โทนเนอร์” กันเป็นอย่างดีแล้วว่า เป็นสกินแคร์ที่ลงเพื่อทำความสะอาดผิวและปรับสภาพผิวก่อนการบำรุงขั้นต่อไป แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลาย ๆ คนที่เคยใช้โทนเนอร์แล้วรู้สึกไม่เห็นผล แถมสิวยังขึ้นอีก! นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราใช้โทนเนอร์ผิดประเภทก็เป็นได้ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักโทนเนอร์กันมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถใช้ได้อย่างถูกประเภทและมีประสิทธิภาพสูงสุด

โทนเนอร์คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?

     โทนเนอร์เป็นสกินแคร์ที่ควรใช้เป็นลำดับที่สองหลังจากคลีนเซอร์ (ถ้าอยากรู้ว่าเราควรมีลำดับการทาสกินแคร์อย่างไรบ้าง คลิกนี่เลย) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนใบหน้าของเรา ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับสมดุลผิวให้อยู่ในค่า pH ที่เหมาะสมและช่วยควบคุมความมันอีกด้วย โดยปกติแล้ว เราสามารถใช้โทนเนอร์ได้ทั้งตอนเช้าและเย็นหลังล้างหน้า 

โทนเนอร์ที่ดีควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเรา

     ก่อนที่จะเลือกซื้อโทนเนอร์ สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือ เราต้องรู้จักชนิดของผิวหน้าตนเองก่อน ไม่อย่างนั้นโทนเนอร์ก็อาจจะไม่สามารถดูแลผิวหน้าของเราได้เต็มประสิทธิภาพ โดย 5 ชนิดของผิวหน้า นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวบอบบางแพ้ง่ายและผิวผสม โดยประเภทของผิวนั้นตกทอดมาจากพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม ประเภทของอาหารที่ทาน และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา

  1. ผิวธรรมดา (Normal Skin)

     ผิวหน้าธรรมดาถือว่าเป็นผิวหน้าที่มีความสมดุลมากที่สุด เพราะว่าผิวบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีความมันน้อย แต่ว่าไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม หรือที่เรียกว่าผิวสุขภาพดีนั่นเอง

  • ผิวเรียบเนียน อ่อนนุ่ม ไม่มีสิว ไร้ริ้วรอย
  • รูขุมขนมีขนาดเล็ก
  • ผิวไม่มันจนเกินไป ไม่แห้งจนเกินไป
  • มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี ทำให้ผิวมีความสดชื่น สีอมชมพู ไม่หมองคล้ำ

     คำแนะนำ: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกได้ทุกประเภท ตราบใดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบนที่อาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้

  1. ผิวมัน (Oily Skin)

     ผิวหน้ามัน เป็น ผิวที่มีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป สามารถมองเห็นรูขุมขน ได้อย่างชัดเจน เพราะว่ามีรูขุมขนใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นสิว เวลาใช้กระดาษซับมัน จะเห็นน้ำมันบนกระดาษได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากบริเวณ จมูก หน้าผาก และ โหนกแก้ม

  • หน้ามันเยิ้มได้ง่าย
  • ผิวเงา มันวาว รูขุมขนกว้าง
  • น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป
  • บางครั้ง มีสิวหัวดำ หรือ สิวเสี้ยน
  • ผิวค่อนข้างหนา และไม่สามารถมองเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน

     คำแนะนำ: โทนเนอร์ที่เหมาะสมกับคนผิวมัน ควรมีส่วนผสมที่ช่วยขจัดความมัน กระชับรูขุมขน เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid), AHA, BHA, PHA ซึ่งมีส่วนช่วยควมคุมความมันบนใบหน้า กำจัดน้ำมันส่วนเกิน และสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขนได้ ควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

  1. ผิวแห้ง (Dry Skin)

     ผิวหน้าแห้งเป็นผิวที่มีการผลิตความมันได้น้อยกว่าผิวธรรมดา นอกจากนี้ ผิวยังขาดกรดไขมันที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอาจจะลอกเป็นขุย หยาบกร้านและดูหมองคล้ำได้ง่าย โดยเฉพาะหากอยู่ในสภาพอากาศแห้งๆ เป็นเวลานาน

     คำแนะนำ: ควรเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) ลาโนลิน สารสกัดจากน้ำมัน หรือ วิตามินอี เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมพวกกรดซาลิไซลิก (Salicylic) กรดไกลโคลิก และแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งกร้านมากขึ้น

  1. ผิวบอบบาง แพ้ง่าย (Sensitive Skin)

     ส่วนใหญ่แล้ว ผิวหน้าชนิดนี้ พบในผู้ที่มีผิวแห้ง หรือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยผิวชนิดนี้จะมีความบางมาก บางจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ ผิวชนิดนี้จะเกิดการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้บ่อยครั้ง มีโอกาสมากกว่าผิวชนิดอื่นที่จะเกิด ผื่นแดงบวม คัน สิวผด รอยไหม้ หรือรอยด่าง ผิวบอบบางจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

  • ผิวหน้าบาง แพ้ง่าย
  • ผื่นขึ้นง่าย หรือ อักเสบง่าย
  • มักจะระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ทั่วไป
  • สุขภาพผิวไม่แข็งแรง

     คำแนะนำ: ควรอ่อนโยนต่อผิวเป็นพิเศษ มีส่วนผสมที่บำรุง สร้างเกราะป้องกันให้กับผิว เช่น วิตามินบี 3 เซราไมด์ ไฮยาลูรอนิค กรดแอซิด รวมถึงปราศจากสารเคมีอันตราย เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน กรดไกลโคลิก กรดอัลฟา และกรดซาลิไซลิก ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

  1. ผิวผสม (Combination Skin)

     ผิวหน้าแบบผสม จะมีลักษณะของผิวแห้งและผิวมันในบริเวณที่ต่างกัน บริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีการผลิตไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้มีโอกาสเกิดสิวที่บริเวณนี้ได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ผิวบริเวณ U-zone (รอบดวงตา แก้ม) จะมีลักษณะของผิวที่แห้ง ลอกเป็นขุย จากการขาดน้ำมัน

  • ผิวมันบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง)
  • ผิวแห้งบริเวณ U-zone (บริเวณรอบดวงตา และแก้ม)
  • สิวส่วนใหญ่จะขึ้นบริเวณ T-zone
  • มีสิวผดบริเวณหน้าผาก

      คำแนะนำ: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน มีสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าของเราได้ รวมถึงหลีกเลี่ยงส่วนผสมประเภทสารเคมี เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน เป็นต้น

Riviera Suisse Micellar Tonic: โทนเนอร์กระชับรูขุมขน เพิ่มความชุ่นชื้น

โทนเนอร์จากRiviera Suisse ทำความสะอาดผิวหน้า กระชับรูขุมขน ควบคุมมัน

     รีเวียร่า สวิซ ไมเซลลาร์ โทนิค โทนเนอร์เตรียมผิวสำหรับการบำรุงผิวหน้าขั้นต่อไป ด้วยสารสกัดจากดอก Purslane ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและชะลอริ้วรอย สามารถต้านการอักเสบ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รูขุมขนกระชับ เรียบเนียน โดยทุกผลิตภัณฑ์ของ Riviera Suisse ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังจากสวิสแล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธภาพ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวแพ้ง่าย

สรุป: เลือกโทนเนอร์อย่างไร ให้ดีต่อผิวหน้าของเรา

     การเลือกโทนเนอร์ที่ดี เราควรทำความเข้าใจสภาพผิวของเราก่อนว่า เป็นแบบไหนแล้วจึงเลือกโฟมล้างหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวนั้น ๆ หลังจากนั้นเราควรดูส่วนผสมของโทนเนอร์เป็นหลัก โดยโทนเนอร์ที่ดีจะต้องอ่อนโยนต่อผิว ปรับค่า pH ของผิวให้อยู่ที่ประมาณ 5.5 ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารกันบูดหรือพาราเบนนั่นเอง


Source: sistacafe.com, wathoothorn.com

แบ่งปันบทความดีๆผ่านทาง

Follow Us on Social Media:

เผยผิวสุขภาพดีไปกับเรา

Shopping cart

0
image/svg+xml

No products in the cart.

Continue Shopping