หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าผิวของเรานั้นเป็นประเภทไหน มีวิธีการสังเกตอย่างไร และผิวนั้นมีกี่ประเภทกันแน่! วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยให้กับทุกคนกัน เพราะการที่เรารู้จักสภาพผิวของตนเองนั้นจะสามารถทำให้เราดูแลผิวของเราได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมนั่นเอง
ผิวหน้าแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท
โดยทั่วไปผิวหน้าของคนเราแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวบอบบางแพ้ ง่าย และผิวผสม ประเภทของผิวนั้นเกิดขึ้นจากพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม ลักษณะการรับประทานอาหาร หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา
ผิวหน้าธรรมดาถือว่าเป็นผิวหน้าที่มีความสมดุลมากที่สุด ผิวบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) มีความมันเล็กน้อยและไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม หรือที่เรียกว่าผิวสุขภาพดีนั่นเอง
ลักษณะของผิวธรรมดา
- ผิวเรียบเนียน อ่อนนุ่ม ไม่มีสิว ไร้ริ้วรอย
- มีรูขุมขนขนาดเล็ก
- ผิวไม่มันและไม่แห้งจนเกินไป
- มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี ทำให้ผิวมีความสดชื่น สีอมชมพู ไม่หมองคล้ำ
การดูแลผิวธรรมดา
ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้นเป็นประจำเพื่อรักษาสภาพของผิวให้คงอยู่ได้นานขึ้น ทำความสะอาดผิวด้วยโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน มีค่า pH 5.5 และทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกกลางแจ้ง
2. ผิวมัน (Oily Skin)
ผิวหน้ามันเป็นผิวที่ มีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป สามารถมองเห็นรูขุมขนได้อย่างชัดเจน เพราะว่ารูขุมขนใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นสิว เวลาใช้กระดาษซับมัน จะเห็นน้ำมันบนกระดาษได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากบริเวณ จมูก หน้าผาก และ โหนกแก้ม
ลักษณะของผิวมัน
- หน้ามันเยิ้มได้ง่าย
- ผิวเงา มันวาว รูขุมขนกว้าง
- น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป
- บางครั้ง มีสิวหัวดำ หรือ สิวเสี้ยน
- ผิวค่อนข้างหนา และไม่สามารถมองเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน
การดูแลผิวมัน
ผู้ที่มีผิวมันจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภทเนื้อบางเบา ซึมซาบง่าย เช่น โลชั่น หรือ เซรั่ม เป็นต้น เพราะโดยปกติแล้ว ผิวมันที่สามารถผลิตสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Sebum) ได้ดีอยู่แล้ว ส่วนการทำความสะอาดผิวมัน ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2- 3 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดความมันส่วนเกิน และป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุแห่งการเกิดสิว
3. ผิวแห้ง (Dry Skin)
ผิวหน้าแห้งเป็นผิวที่มีการผลิตความมันได้น้อยกว่าผิวธรรมดา รวมถึงขาดกรดไขมันที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอาจจะลอกเป็นขุย หยาบกร้านและดูหมองคล้ำได้ง่าย โดยเฉพาะหากอยู่ในสภาพอากาศที่เย็นนาน ๆ
ลักษณะของผิวแห้ง
- ผิวดูขาดน้ำ แห้งกร้าน
- ผิวลอกเป็นขุย ๆ
- ผิวไม่มีน้ำมันหล่อเลี้ยง
- รูขุมขนเล็ก ละเอียด
- มีริ้วรอยก่อนวัย
การดูแลผิวแห้ง
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และควรเป็นเนื้อครีม เพราะมอยเจอร์ไรเซอร์สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและรักษาสมดุลผิวหน้าให้มีความอิ่มน้ำมากขึ้นอีกด้วย เมื่อผิวลอก เป็นขุย ไม่ควรขูดหรือแกะออก เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลได้ ควรสัมผัสผิวหน้าอย่างเบามือ
4. ผิวบอบบาง แพ้ง่าย (Sensitive Skin)
ส่วนใหญ่แล้ว ผิวหน้าชนิดนี้ พบในผู้ที่มีผิวแห้ง หรือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยผิวหน้าชนิดนี้ บางมากๆ จนสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ คนที่มีผิวบอบบาง จะเกิดการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้บ่อยครั้ง มีโอกาสมากกว่าผิวชนิดอื่นที่จะเกิด ผื่นแดงบวม คัน สิวผด รอยไหม้ หรือรอยด่าง ผิวบอบบางจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ลักษณะของผิวบอบบาง แพ้ง่าย
- ผิวหน้าบาง แพ้ง่าย
- ผื่นขึ้นง่าย หรือ อักเสบง่าย
- มักจะระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ทั่วไป
- สุขภาพผิวไม่แข็งแรง
การดูแลผิวบอบบาง แพ้ง่าย
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่อ่อนโยนและไม่ระคายเคืองผิว ควรจะเป็น ผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังมาแล้ว (แอบกระซิบมาบอกว่าผลิตภัณฑ์ของทาง Riviera Suisse ก็ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังเหมือนกันน้า มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยและบำรุงผิวของเราได้ดีจริง ๆ) ถ้าเป็นไปได้ ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติเป็นหลัก และมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงได้
5. ผิวผสม (Combination Skin)
ผิวหน้าแบบผสม จะมีลักษณะสำคัญของผิวแห้งและผิวมันผสมกัน บริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีการผลิตไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้มีโอกาสเกิดสิวที่บริเวณนี้ได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ผิวบริเวณ U-zone (รอบดวงตา แก้ม) จะมีลักษณะของผิวที่แห้ง ลอกเป็นขุย จากการขาดน้ำมัน
ลักษณะของผิวผสม
- ผิวมันบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง)
- ผิวแห้งบริเวณ U-zone (บริเวณรอบดวงตา และแก้ม)
- สิวส่วนใหญ่จะขึ้นบริเวณ T-zone
- มีสิวผดบริเวณหน้าผาก
การดูแลผิวผสม
ควรเลือกดูแลผิวตามเฉพาะจุดเนื่องจากใบหน้าของเรามีทั้งผิวมันและผิวแห้งผสมอยู่ และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้ส่วนของผิวที่แห้งแล้ว แห้งไปกว่าเดิมอีก อาจจะทำให้ผิวหยาบกร้าน มีรอยแดง นอกจากนี้แล้วส่วนผสมที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป สามารถไปรบกวนต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม
Source: medium.com, jeban.com