เชื่อหรือไม่ว่า มีคนจำนวนมากที่ได้ซื้อ สกินแคร์ และลองใช้สกินแคร์ต่างๆ มากมาย แต่กลับใช้ผิดใช้ถูกจนไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีพอ วันนี้เราจะมาแนะนำตั้งแต่การให้ทุกคนรู้จักประเภทของผิวหน้าเราเองก่อน ไปจนถึงลำดับการลงสกินแคร์ขั้นพื้นฐานที่ถูกต้อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากดูแลผิวพรรณของตนเอง แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มใช้สกินแคร์อย่างไร ที่นี่มีคำตอบอย่างแน่นอน ! รวมถึงผู้ที่เคยใช้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ดูไม่ค่อยเห็นผลจากการใช้เท่าไหร่เลย มาลองเช็คกันว่าคุณใช้ผิดวิธีหรือไม่
ก่อนที่จะเลือกซื้อสกินแคร์ ต้องรู้ชนิดผิวหน้าของตนเองก่อน
ก่อนที่จะเลือกซื้อสกินแคร์ สำคัญที่สุดเลยคือ เราต้องรู้จักชนิดของผิวหน้าตนเองก่อน โดย 5 ชนิดของผิวหน้า นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวผสม โดยประเภทของผิวนั้นตกทอดมาจากพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม ประเภทของอาหารที่ทาน และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา
- ผิวธรรมดา (Normal Skin)
- ผิวหน้าธรรมดาถือว่าเป็นผิวหน้าที่มีความสมดุลมากที่สุด เพราะว่าผิวบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีความมันน้อย แต่ว่าไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม หรือที่เรียกว่าผิวสุขภาพดีนั่นเอง
- ผิวเรียบเนียน อ่อนนุ่ม ไม่มีสิว ไร้ริ้วรอย
- รูขุมขนมีขนาดเล็ก
- ผิวไม่มันจนเกินไป ไม่แห้งจนเกินไป
- มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี ทำให้ผิวมีความสดชื่น สีอมชมพู ไม่หมองคล้ำ
- สำหรับผิวธรรมดา เราควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้นเป็นประจำเพื่อรักษาสภาพของผิวให้คงอยู่แบบนี้ได้นานขึ้น ควรทำความสะอาดผิวด้วยโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน เช่นโฟมที่มีค่า pH 5.5 และควรทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อจำเป็นต้องออกไปที่โล่งกลางแจ้ง
- ผิวหน้าธรรมดาถือว่าเป็นผิวหน้าที่มีความสมดุลมากที่สุด เพราะว่าผิวบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีความมันน้อย แต่ว่าไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม หรือที่เรียกว่าผิวสุขภาพดีนั่นเอง
- ผิวมัน (Oily Skin)
- ผิวหน้ามัน เป็น ผิวที่มีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป สามารถมองเห็น รูขุมขน ได้อย่างชัดเจนเพราะว่ามี รูขุมขนใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นสิว เวลาใช้กระดาษซับมัน จะเห็นน้ำมันบนกระดาษได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากบริเวณ จมูก หน้าผาก และ โหนกแก้ม
- หน้ามันเยิ้มได้ง่าย
- ผิวเงา มันวาว รูขุมขนกว้าง
- น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป
- บางครั้ง มีสิวหัวดำ หรือ สิวเสี้ยน
- ผิวค่อนข้างหนา และไม่สามารถมองเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน
- สำหรับผิวมัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภทเนื้อบางเบา ซึมซาบง่าย เช่น โลชั่น หรือ เซรั่ม เป็นต้น เพราะโดยปกติแล้ว ผิวมันสามารถผลิตสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Sebum) ได้ดีอยู่แล้ว ส่วนการทำความสะอาดผิวมัน ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2- 3 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดความมันส่วนเกิน และป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุแห่งการเกิดสิว
- ผิวหน้ามัน เป็น ผิวที่มีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป สามารถมองเห็น รูขุมขน ได้อย่างชัดเจนเพราะว่ามี รูขุมขนใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นสิว เวลาใช้กระดาษซับมัน จะเห็นน้ำมันบนกระดาษได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากบริเวณ จมูก หน้าผาก และ โหนกแก้ม
- ผิวแห้ง (Dry Skin)
- ผิวหน้าแห้งเป็นผิวที่มีการผลิตความมันได้น้อยกว่าผิวธรรมดา นอกจากนี้ ผิวยังขาดกรดไขมันที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอาจจะลอกเป็นขุย หยาบกร้านและดูหมองคล้ำได้ง่าย โดยเฉพาะหากอยู่ในสภาพอากาศแห้งๆ เป็นเวลานาน
- ผิวดูขาดน้ำ แห้งกร้าน
- ผิวลอกเป็นขุย ๆ
- ผิวไม่มีน้ำมันหล่อเลี้ยง
- รูขุมขนเล็ก รูขุมขนละเอียด
- มีริ้วรอยก่อนวัย
- สำหรับผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และควรเป็นเนื้อครีม เพราะมอยเจอร์ไรเซอร์สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและรักษาสมดุลผิวหน้าให้มีความอิ่มน้ำมากขึ้นอีกด้วย แต่ว่าถ้าเกิดอาการผิวลอก เป็นขุย ไม่ควรขูดหรือแกะออก เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลได้ ควรสัมผัสผิวหน้าอย่างเบามือ
- ผิวหน้าแห้งเป็นผิวที่มีการผลิตความมันได้น้อยกว่าผิวธรรมดา นอกจากนี้ ผิวยังขาดกรดไขมันที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอาจจะลอกเป็นขุย หยาบกร้านและดูหมองคล้ำได้ง่าย โดยเฉพาะหากอยู่ในสภาพอากาศแห้งๆ เป็นเวลานาน
- ผิวบอบบาง แพ้ง่าย (Sensitive Skin)
- ส่วนใหญ่แล้ว ผิวหน้าชนิดนี้ พบในผู้ที่มีผิวแห้ง หรือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยผิวชนิดนี้จะมีความบางมาก บางจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ ผิวชนิดนี้จะเกิดการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้บ่อยครั้ง มีโอกาสมากกว่าผิวชนิดอื่นที่จะเกิด ผื่นแดงบวม คัน สิวผด รอยไหม้ หรือรอยด่าง ผิวบอบบางจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- ผิวหน้าบาง แพ้ง่าย
- ผื่นขึ้นง่าย หรือ อักเสบง่าย
- มักจะระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ทั่วไป
- สุขภาพผิวไม่แข็งแรง
- สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่อ่อนโยนและไม่ระคายเคืองผิว ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังมาแล้ว (เช่น Riviera Suisse ที่ทุกผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังมาแล้ว) ถ้าเป็นไปได้ ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติเป็นหลัก และมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงได้
- ส่วนใหญ่แล้ว ผิวหน้าชนิดนี้ พบในผู้ที่มีผิวแห้ง หรือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยผิวชนิดนี้จะมีความบางมาก บางจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ ผิวชนิดนี้จะเกิดการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้บ่อยครั้ง มีโอกาสมากกว่าผิวชนิดอื่นที่จะเกิด ผื่นแดงบวม คัน สิวผด รอยไหม้ หรือรอยด่าง ผิวบอบบางจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- ผิวผสม (Combination Skin)
- ผิวหน้าแบบผสม จะมีลักษณะของผิวแห้งและผิวมันในบริเวณที่ต่างกัน บริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีการผลิตไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้มีโอกาสเกิดสิวที่บริเวณนี้ได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ผิวบริเวณ U-zone (รอบดวงตา แก้ม) จะมีลักษณะของผิวที่แห้ง ลอกเป็นขุย จากการขาดน้ำมัน
- ผิวมันบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง)
- ผิวแห้งบริเวณ U-zone (บริเวณรอบดวงตา และแก้ม)
- สิวส่วนใหญ่จะขึ้นบริเวณ T-zone
- มีสิวผดบริเวณหน้าผาก
- สำหรับผิวผสม ควรดูแลผิวตามเฉพาะจุด เนื่องจากใบหน้าของเรามีทั้งผิวมันและผิวแห้งผสมอยู่ และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้ส่วนของผิวที่แห้งแล้ว แห้งไปกว่าเดิมอีก อาจจะทำให้ผิวหยาบกร้าน มีรอยแดง นอกจากนี้แล้วส่วนผสมที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป สามารถไปรบกวนต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม
- ผิวหน้าแบบผสม จะมีลักษณะของผิวแห้งและผิวมันในบริเวณที่ต่างกัน บริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีการผลิตไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้มีโอกาสเกิดสิวที่บริเวณนี้ได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ผิวบริเวณ U-zone (รอบดวงตา แก้ม) จะมีลักษณะของผิวที่แห้ง ลอกเป็นขุย จากการขาดน้ำมัน
การใช้สกินแคร์ให้ได้ผลดีต้องรู้จักประเภท และลำดับการทาก่อน-หลัง
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงคุณสมบัติของ สกินแคร์ แต่ละประเภท คิดว่าทุกตัวก็ช่วยบำรุงผิวพรรณทั้งหมด เลยไม่ได้ใส่ใจลำดับการทา ทั้งที่จริงแล้วการเลือกทาสกินแคร์แบบเรียงลำดับก่อน-หลังนั้นสำคัญมาก เพราะจะทำให้สกินแคร์แต่ละตัวได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากมีแพลนจะออกนอกบ้าน และเลือกทาครีมกันแดดก่อนทาเซรั่ม ประสิทธิภาพของเซรั่มจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เพราะครีมกันแดดมีความเข้มข้นของเนื้อผิวสัมผัสมากกว่าเซรั่ม จึงบดบังไม่ให้เซรั่มซึมเข้าไปในชั้นผิวหนัง
โดยพื้นฐานในการเรียงลำดับจะขึ้นอยู่กับหน้าที่ของสกินแคร์และความเข้มข้นของเนื้อสัมผัสเป็นหลัก ซึ่งจะเรียงจากเนื้อเบาไปหนัก สกินแคร์ที่ช่วยในการบำรุงผิวควรซึมซาบไปเป็นอันดับแรก ๆ ตามด้วยสกินแคร์ที่ช่วยในการปกป้องผิว
ควรเรียงลำดับการทา สกินแคร์ ยังไงดี ?
โดยหลัก ๆ แล้วสกินแคร์ขั้นพื้นฐานที่ควรมี จะมีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภทหลัก ๆ และจะมีวิธีทาสกินแคร์ที่ถูกต้องก็จะขึ้นอยู่กับประเภทของสกินแคร์นั่นเอง ซึ่งจะเรียงลำดับการทาก่อนหลัง ดังต่อไปนี้
- คลีนเซอร์ (Cleanser)
- สำหรับขั้นตอนแรกเริ่มในการเตรียมความพร้อมบำรุงผิว เราควรที่จะทำความสะอาดสิ่งสกปรกและความมันบนใบหน้าให้หมดจด ด้วยการใช้คลีนเซอร์ที่เหมาะสมตามสภาพผิวของตนเอง ส่วนในตอนกลางคืน หากมีการใช้เครื่องสำอางมาก็ควรที่จะใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Makeup remover) เพื่อเช็ดเครื่องสำอางก่อน แล้วตามด้วยคลีนเซอร์
- โทนเนอร์ (Toner)
- ใช้โทนเนอร์เพื่อเป็นการปรับสภาพผิวให้มีค่า pH ที่เหมาะสม ทำให้ผิวไม่แห้งตึงหลังจากการทำความสะอาดใบหน้า อีกทั้งยังช่วยให้การลงสกินแคร์บำรุงซึมได้เร็วมากขึ้น อย่าง Micellar Tonic ของ Riviera suisse ที่มีคุณสมบัติ moisturize ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและรูขุมขนกระชับและเรียบเนียน
- น้ำตบ หรือ ทรีตเมนต์ เอสเซนส์ (Treatment Essenses)
- เป็นขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยในการเตรียมให้ผิวชุ่มชื้นพร้อมรับการบำรุงขั้นถัดไป โดยเว้นให้โทนเนอร์ปรับสภาพผิวก่อนสัก 1-2 นาที แล้วค่อยลงด้วยเอสเซนส์ ใช้ปลายนิ้วมือตบบนใบหน้าเบา ๆ ซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือดในผิวได้
- เซรั่ม (Serum)
- การลงเซรั่มเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการบำรุงผิวมากที่สุด เนื่องจากเซรั่มเป็น skincare ที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์บำรุงผิว หรือ Active ingredient สูง ในช่วงกลางวันควรใช้เซรั่มแอนติออกซิแดนต์ เพื่อช่วยลดการอักเสบผิว ปกป้องจากรังสียูวีและมลภาวะอื่น ๆ ส่วนกลางคืนควรใช้เซรั่มที่ช่วยซ่อมแซมหรือฟื้นฟูผิว เช่น เซรั่มลดเลือนจุดด่างดำ เซรั่มกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และ เซรั่มต้านริ้วรอย
- มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer)
- เป็นหนึ่งในสกินแคร์ที่หลาย ๆ คนใช้กันบ่อย เพราะผิวของเราต้องเผชิญกับแสงแดด อากาศร้อน และ มลภาวะต่าง ๆ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น เราจึงจำเป็นจึงต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นของผิว ให้ผิวสุขภาพดี สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมอยส์เจอไรเซอร์มีเนื้อสัมผัสทั้งแบบเจลจนถึงแบบครีม ซึ่งเราควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา
- ครีมกันแดด (Sunscreen)
- เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญและควรทำเป็นอันดับสุดท้าย เพื่อปกป้องผิวของเราไม่ให้เจอกับรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) จากแสงแดด เนื่องจากรังสียูวีเอเป็นตัวการที่ทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวของเรามีริ้วรอย เหี่ยวย่น ส่วนรังสียูวีบีจะทำร้ายชั้นผิวหนังกำพร้าซึ่งก่อให้เกิดผิวไหม้ ดำ หมองคล้ำ กระ จุดด่างดำ โดยเราควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (หากสงสัยว่า SPF บ่งบอกถึงอะไร สามารถคลิกดูได้ที่นี่) อย่าง Riviera Suisse Face balm SPF 30 PA+++ ที่สามารถบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นพร้อมกันแดดได้และยังอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว
บทสรุปขั้นตอนการใช้ สกินแคร์ ขั้นพื้นฐาน Basic Skincare
สิ่งแรกที่เราควรทำก่อนการเลือกค้นหาว่าควรซื้อสกินแคร์อะไรดี เราควรสำรวจประเภทผิวหน้าของเราก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากสกินแคร์แต่ละตัวจะเหมาะสมกับผิวหน้าแต่ละประเภท หลังจากที่เรารู้ประเภทผิวหน้าของเราแล้ว เราก็ควรเลือกใช้สกินแคร์ให้ถูกต้องตามคุณสมบัติที่ต้องการ เพื่อช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิวหน้า รวมถึงควรเรียงลำดับการลงสกินแคร์ให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการบำรุงที่สูงที่สุด นอกจากนี้ควรดูแลตนเองเพิ่มเติมด้วยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กันด้วยนะ