ผิวขาดน้ำ เป็นปัญหาที่อาจจะเคยได้ยิน คุ้นหูกันมาบ้าง เมื่อผิวของตนเองนั้นเริ่มแตก ลอกเป็นขุยหรือหยาบกร้าน หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าผิวของตัวเองนั้นเป็นผิวแห้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เพราะผิวที่หยาบกร้าน แตก ก็อาจจะเกิดจากการที่ผิวขาดน้ำได้ วันนี้เราจะมาดูกันว่าผิวขาดน้ำกับผิวแห้งนั้นแตกต่างกันอย่างไร มีวิธีสังเกตและดูแลเมื่อผิวขาดน้ำได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!
ผิวขาดน้ำ vs ผิวแห้ง
ผิวแห้ง เป็นชนิดของผิวแบบหนึ่งจากผิว 5 ชนิด เป็นชนิดของผิวที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยกว่าปกติหรือต่อมไขมันมีขนาดเล็ก จึงไม่ค่อยสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ ผิวอาจจะแห้งตึงและลอกเป็นขุยบ้าง โดยทั่วไปแล้วคนที่มีผิวแห้ง จะมีผิวชนิดนี้มาตั้งแต่เกิด และผิวแห้งเหมือนกันทั้งหน้า จะมีรูขุมขนเล็กและไม่ค่อยมีปัญหาสิว
ผิวขาดน้ำ เป็นอาการของผิวที่มีน้ำหล่อเลี้ยงใต้ผิวหนังชั้นบนสุดไม่เพียงพอ ส่วนต่อมไขมันยังสามารถผลิตน้ำมันออกมาอยู่ในระดับที่ปกติหรือมากกว่าปกติ ทำให้อาจจะมีน้ำมันเคลือบผิวมาก แต่ผิวดูแห้ง หยาบกร้าน ผิวขาดน้ำสามารถเกิดได้กับสภาพผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน ผิวธรรมดา โดยถ้าเกิดขึ้นกับผิวมันจะเรียกว่า “ผิวมันขาดน้ำ”
สังเกตได้อย่างไรว่า ผิวขาดน้ำ ?
เราสามารถทดสอบได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้หลังมือลูบที่ใบหน้าเบา ๆ ถ้ารู้สึกว่าผิวมีความหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น แสดงว่าผิวของเราขาดน้ำแล้วล่ะ นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตว่าผิวขาดน้ำหรือไม่จากลักษณะของผิวหน้าได้ดังต่อไปนี้
- มีปัญหาสิวอุดตันง่าย (โดยปกติแล้ว หากเป็นผิวแห้งจะเกิดสิวยาก)
- รุขุมขนกว้าง (บ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นคนที่มีชนิดผิวแห้งมาแต่แรก)
- ผิวสาก ไม่เรียบเนียน รู้สึกได้เวลาลูบ
- ผิวแห้งและมันในเวลาเดียวกัน
- เป็นผื่นแดง ระคายเคืองและแพ้ง่าย
- ผิวลอก หรือผิวแตก
- เวลาล้างหน้าใหม่ๆ ผิวจะแห้ง แต่ก็กลับมามันอย่างรวดเร็ว
- ริ้วรอยดูลึกและชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อน
สาเหตุที่ทำให้ผิวขาดน้ำ
- อายุที่มากขึ้น ต่อมไขมันของผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพในการผลิตไขมันได้น้อยลง ทำให้สูญเสียน้ำจากชั้นใต้ผิวหนังได้ง่าย
- การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง ส่งผลให้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าถูกทำลายจากสารเคมี และชะล้างน้ำมันที่เคลือบอยู่บนผิวมากเกินไป ทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำได้ง่ายและมากขึ้น
- การขัดผิว ลอกหน้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดผิวที่มีความเข้มข้นสูง จะทำให้ชั้นหนังกำพร้ามีการผลัดและหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ จนไม่สามารถสร้างชั้นไขมันได้ทัน เป็นเหตุให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำชั้นใต้ผิวหนังได้
- สภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นอากาศแห้ง แสงแดด หรือควันรถ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เมื่อความชื้นในบรรยากาศต่ำ จะทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำมากขึ้นและอักเสบจากความแห้ง
- การใช้ชีวิตประจำวัน หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดก็เป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดผิวขาดน้ำได้
ผิวขาดน้ำดูแลอย่างไรดี ?
การที่ผิวขาดน้ำอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยู่กับผิวขาดน้ำไปตลอดไป เราสามารถบำรุงและฟื้นฟูผิวได้ด้วยการเปลี่ยน ไลฟ์สไตล์ โดยวิธีหลักของการแก้ผิวขาดน้ำเลยก็คือ เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวแทนการเพิ่มน้ำมันบนผิว
- เลือกผลิตภัณท์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ล้างแล้วหน้าไม่ฝืด หรือ “ล้างแล้วหน้าไม่เอี๊ยด” เช่น Riviera Suisse Foam ที่สามารถคงความชุ่มชื้นของผิวหน้า ทำความสะอาดล้ำลึก แต่อ่อนโยนต่อผิวและไม่ทำให้ผิวแห้ง
- หลังจากล้างหน้า ให้ใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น Micellar Tonic ที่มีคุณสมบัติ moisturize ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและรูขุมขนกระชับและเรียบเนียน
- หลีกเลี่ยงการขัดหน้า ลอกหน้าแบบรุนแรง หรือการใช้แปรงนวดหน้าแบบขนหยาบเกินไป
- ทาครีมกันแดดที่มีค่าตั้งแต่ SPF30 ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องผิวของเราให้ทนต่อแสงแดดและรังสี UV ได้นาน อย่างผลิตภัณฑ์ของทางรีเวียร่า สวิซ ก็มี Face balm SPF30 PA+++ ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดพร้อมบำรุงอย่างล้ำลึกด้วยวิตามินอี อีกทั้งยังมีสารสกัดจากดอกเอเดลไวส์ ที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
Source: www.thairath.co.th, Pharmabeautycare, sanook.com